เมื่อถึงวันนั้นของเดือน สาวๆ ก็มักจะต้องเจออาการต่างๆ หนึ่งในนั้นก็คือ อาการปวดท้องประจำเดือน ซึ่งส่วนใหญ่จะมีอาการปวดช่วง 1–2 วันแรกที่มีประจำเดือน บางคนอาจจะปวดมาก ปวดน้อยหรือบางคนอาจจะไม่มีอาการปวดเลย และอาจมีอาการอ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน ปวดหัว หงุดหงิดง่าย ร่วมด้วย
สาเหตุของอาการปวดประจำเดือน มี 2 สาเหตุหลัก
เกิดจากการที่เยื่อบุโพรงมดลูกผลิตสารที่ชื่อว่า โพรสตาแกลนดิน (Prostaglandins) มากเกินไป ทำให้กล้ามเนื้อบีบตัว จึงทำให้รู้สึกปวดประจำเดือน
เกิดจากภาวะผิดปกติของมดลูก อย่างเช่น เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ เยื่อบุมดลูกเจริญภายในกล้ามเนื้อมดลูก เนื้องอกมดลูก ควรรีบพบแพทย์โดยด่วน
วิธีลดอาการปวดประจำเดือน
1.การประคบร้อน
วิธีประคบร้อนที่ท้องน้อย เช่น การใช้กระเป๋าน้ำร้อน สามารถช่วยให้อาการปวดประจำเดือนทุเลาลงได้ เนื่องจากความร้อนมีส่วนช่วยให้กล้ามเนื้อที่ตึงอยู่ผ่อนคลาย วิธีนี้เป็นที่นิยมเพราะสะดวก ทำได้ง่าย และสามารถช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือนได้ด้วยตัวเอง
2.การนวด
จะช่วยลดการตึงของกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย ลองนวดเป็นวงกลมตามเข็มนาฬิกาบริเวณท้องน้อย โดยทำฝ่ามือให้อบอุ่นก่อนนวด เพื่อให้ความร้อนจากฝ่ามือช่วยบรรเทาอาการปวดได้ดีขึ้น
3.การเลือกอาหาร
อาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินบี 1, วิตามินบี 6, วิตามินอี, โอเมก้า 3, แคลเซียม และแมกนีเซียม สามารถช่วยลดอาการปวดประจำเดือนได้ ซึ่งสารอาหารเหล่านี้อยู่ในอาหารต่างๆ เช่น ผักโขม, ผักปวยเล้ง, กล้วย, ข้าว, ไข่, เนื้อปลา, อัลมอนด์ และถั่วต่างๆ
4.การกินยาคุมกำเนิด
หลายคนอาจคิดว่าการกินยาคุมใช้เพื่อช่วยคุมกำเนิดอย่างเดียว แต่จริงๆ แล้วการกินยาคุมกำเนิดสูตร 24+4 ที่มีตัวยา 24 เม็ด และเม็ดแป้ง 4 เม็ดก็สามารถช่วยได้ ด้วยจำนวนยาที่เพิ่มขึ้นจากปกติจากสูตรเดิมที่มีตัวยา 21 เม็ด จะช่วยลดการแกว่งของระดับฮอร์โมนในร่างกาย และทำให้ฮอร์โมนคงที่ จึงช่วยลดการปวดประจำเดือน และลดอาการก่อนมีประจำเดือน (PMS) ไม่ว่าจะเป็นอาการอ้วนบวม คัดตึงหน้าอก เป็นสิวหรือเกิดอารมณ์หงุดหงิด
และหากสาวๆ คนไหนยังมีข้อสงสัย ก็สามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านฮอร์โมนและการคุมกำเนิดได้ที่.. ‘PHARMASIS’ ร้านขายยาที่เข้าใจผู้หญิง ตามร้านขายยาที่อยู่ใกล้บ้านของทุกคนได้เลยค่ะ
ค้นหาร้านขายยาที่เข้าใจผู้หญิงใกล้บ้านได้ตามลิงก์นี้เลยนะคะ คลิก
แต่ถ้าหากลองทำตามวิธีที่แนะนำนี้แล้วยังไม่ดีขึ้นหรือมีอาการปวดรุนแรง เรื้อรังไม่หายสักที ควรไปปรึกษาแพทย์เพื่อทำการรักษาต่อไปค่ะ
เขียนโดย ภญ. มัลลิกา อภิรักษ์คุณวงศ์ จากร้านเจดียา กรุงเทพฯ